Brussels 1st

19/03/2016

เข้ากรุงบรัสเซสส์ ครั้งแรก

ปั่นรถถีบที่โฮสพึ่งซื้อมาวันสองวันก่อน โฮสเขาก็รู้ใจเรา รู้ว่าเราจะประหยัดตรงไหนได้บ้าง เขาก็ช่วย

เขาบอกปั่นไปที่ Hermann-debroux station ซิ มีทั้ง Metro, tram เข้า Brussels ประหยัดเงินค่าbus ไปได้ 1.4euro ไม่ได้ไกลมาก แต่เราบอกเราจะประหยัดกว่า จะปั่นเข้า Brussels เลย

ทริปแรกจึงเกิดขึ้น หลังจากเรามาถึงเบลเยี่ยมได้ 5 วัน

อากาศหนาว ท้องฟ้ามือครึ้ม - ไม่สน ใช้เสื้อ ใส่ถุงมือ ใส่หมวก

เงินไม่ได้เเลกมาจากไทย สักยูโร - ไม่สน พกน้ำ แพคของกินมาจากบ้าน

(โฮสดีอีกละ เอาเงินให้ก่อน แต่เรา ก็เก็บไว้ดีกว่า มาชิวๆ)

เปิด GPS ไป ปั่นไป เริ่มร้อน ถอนๆใส่ถุงมือ กับหมวกอยู่นั้น

ใส่ก็ร้อน ถอน ลมตีเข้าก็เริ่มหนาว

ปั่นจนมาเจอ Hermann-debroux station นะไม่ยาก เลียบตาม high way มา

เริ่มงงคะ ไปปั่น ข้ามไปปั่นตรงกลาง จนมาถึง

Parc de Woluwe Woluwepark

ถึงแม้สภาพอากาศจะไม่สดใส แต่คนก็ออกมาเดินเล่น jogging

ปั่นจักรยานกันพอประมาณ ใบไม้ยังไม่ผลิ โชว์แต่กิ่งก้านกันไป

ปั่นมาเรื่อยๆ ลงเดิน ลากรถถีบขึ้นเขาบ้าง

พอมาถึงวงเวียนก็งงอีก ห้ามรถเข้า แต่รถถีบเข้าได้ประมาณนั้น ก็ดูๆ คนที่ปั่นนำไป

โดนรถบีบแตรใส่หนึ่งทีบ้าง ความจริงที่นี้ดีนะ เขาให้ทางจักรยาน คนเดินถนนไปก่อน ตามสัญญานไฟจราจร แต่เราติดนิสัยอยู่ไทย รู้สึกว่าต้องรอจนปลอดภัยถึงจะไปได้ ก็คนมังงง ครั้งแรกในเมือง

คนที่นี้ชอบบีบแตรพอประมาณ

ทางรถจักรยานอยู่ข้างกับทางเดินรถยนต์เลย

พอมาถึงทางแคบ รถยนต์ ก็ต้องค่อยๆไปตามหลังรถจักรยาน

พอมาถึงทางแยก รถที่เลี้ยวขวา ก็ต้องรอรถจักรยานไปตรงก่อน

(ที่ว่ามา คือ เราเนี่ยแหละ พอเริ่มชิน เริ่มเข้าใจ รถยนต์หลบไป 555 รถถีบไปก่อน)

Parc du Cinquantenaire Jubelpark

นี้ก็อีกสวนสาธารณะกลางเมือง มีทั้งmuseum แต่ยังไม่เปิดให้ชม ต้นไม้เยอะเป็นทางเลย ไม่ค่อยได้ถ่ายมากเพราะรู้สึกไม่สวย ดูแห้งๆ เหงาๆ มีรูปปั้น เรียงเป็นแถวเลย คนมาออกกำลังกาย มาวิ่งก็มี

และอีกอย่างที่เราเห็นประจำ คือ Scouts ถ้าเป็นกลุ่มเด็กผู้หญิง ก็จะเป็นหญิงล้วน ถ้าเป็นเด็กผู้ชาย ก็เป็นชายหมด มาเล่น มาทำอะไรกันไม่รู้ และคนที่ดูแลน้องๆ ก็เหมือนจะเป็นพวกรุ่นพี่ ไม่ใช่อาจารย์แบบบ้านเรา จะใส่ผ้าพันคอ มีเครื่องแบบ คือ อยากถามน้องมากว่า 'น้องบ่หนาวกันก่า'

Cathédrale des Sts Michel et Gudule

เราชอบรูปปั้นอันนี้ สวย

มี expo เล็กๆ รู้แค่ว่าพูดถึงธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ
คือภาพสยองดี เอาคนมานั่งไฟเยอะขึ้นๆ น้ำไหลมาอีกๆ ลมก็โบกผู้หญิงที่ห้อยอยู่นั้น

ในที่สุดก็มาถึง เป้าหมายหลักของวันนี้

Grand Place

พอจอดจักรยาน เดินเล่นรอบๆ คนเยอะจริงบริเวณนี้ เลี้ยวเดินตางทางมา

พอพ้นมุมอาคารเห็น square หยุดเดินไป7วิ

คำแรกที่เราบอกได้คือ "โคตรสวย"

แต่หลายคนคงคิดว่ารูปถ่ายไม่เห็นสวย เราก็ว่า ขนาดเรามานั่งดู เราก็ว่าไม่สวย

ท้องฟ้า หม่นๆ แต่เราก็ถ่ายไปๆ เอาบรรยากาศวันนี้ อย่างไง เราก็มาอีก :)

นี้เป็นอีกหนึ่งเหตุผลของชีวิตท่องเที่ยว

'ยิ่งมาเห็นกับตา มาสัมผัส ด้วยตัวเอง ความสวยจะยิ่งทวีคูณ'

นี้ก็อีกจุดขาย waffle 1 euro จะadd topping ก็เพิ่มราคาไป จะapp whip cream ก็เพิ่มราคาไป

มีหลายร้านมาก ป้ายภาษาญี่ปุ่น จีนก็มี นักท่องเที่ยวจากประเทศดังกล่าวเริ่มเพิ่มขึ้น

แล้วเราก็เดินเล่นรอบๆ รถม้ามีให้นักท่องเที่ยวเช่า คนเดินกันไป เดินกันมา

เราก็เดินเพื่อตามหา ไอ้หนูเปลือยกายยืนฉี่

Manneken Pis

เราก็ไม่รู้ว่าทำไมเจ้าหนูนี้ ถึงได้น่าสนใจนัก แต่พอเรามาดูตำนานของเขา ก็ทำให้เข้าใจ ทำไมเจ้าหนูถึงเด่นดังได้ ลองมาเดาดูว่าตำนานของคุณน้องเป็นอย่างไง?

'ผมไม่เปลือยนะฮะ'

คนมาถ่ายเยอะจริงๆ

มีตำนานเล่าว่า รูปปั้นนี้เดิมสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 ด้วยหินแกะสลัก ในขณะนั้นบรัสเซลส์อยู่ท่ามกลางสงคราม และถูกฝ่ายตรงข้ามนำระเบิดมาวางไว้ที่กำแพงเมือง เด็กชายคนหนึ่งชื่อ จูเลียนสกี (Julianske) มาพบสายชนวนระเบิดกำลังติดไฟ จึงปัสสาวะรดเพื่อดับชนวนและป้องกันเมืองไว้ได้ ชาวเมืองจึงทำรูปแกะสลักนี้ไว้เพื่อระลึกถึงความกล้าหาญ ต่อมารูปสลักนี้ถูกขโมยสูญหายไปหลายครั้ง จึงถูกแทนที่รูปหล่อตัวปัจจุบัน ที่ออกแบบโดยเจอโรม ดูเกสนอย ในปี ค.ศ. 1618

ในปัจจุบัน เทศบาลเมืองบรัสเซลส์ได้จัดเทศกาลเฉลิมฉลองต่างๆ บางช่วงจะมีการจัดเครื่องแต่งกายพื้นเมืองต่างๆ สวมให้กับรูปปั้นนี้ โดยในช่วงเวลาปกติรูปปั้นนี้จะอยู่ในสภาพเปลือยกาย

(ข้อมูล : วิกิพีเดีย )